โปรดใช้วิจารณญาน ไตร่ตรอง เปิดใจ ปิดกั้น เห็นต่าง



วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

สุดยอดสลัดอากาศ ดี บี คูเปอร์

D. B. Cooper
         
ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง(FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร

เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200
,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล

แม้การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำ ให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5
,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา หน้าที่แท้จริง  ไม่ มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้

เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่ และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ปริศนา แจ็คเดอะริปเปอร์ ต้นแบบ ฆาตกร ต่อเนื่อง...




ใครกันแน่คือแจ็คเดอะริปเปอร์? คนไข้โรคจิต ศัลยแพทย์มือฉมัง คนขายเนื้อ ชายซึ่งวางยาพิษฆ่าเมียตัวเอง หรือแม้แต่หลานชายของควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ก็ล้วนแล้วแต่พัวพันกับสมญานามของฆาตกรสุดโหดแห่งไวต์แชปเพิลผู้นี้และที่สำคัญเขาไม่เคยถูกจับ
แจ็คเดอะริปเปอร์ เป็นสมญานามของฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อคดีสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 เหยื่อของแจ็คเดอะริปเปอร์ล้วนเป็นหญิงโสเภณีในย่านไวต์แชปเพิล แหล่งสลัมเสื่อมโทรมในเขตอีสต์เอนด์ สมญานามนี้ได้มาจากชื่อในท้ายจดหมายซึ่งโผล่ออกมาระหว่างที่เกิดการฆาตกรรมขึ้น
เหยื่อของแจ็คจะเป็นผู้หญิงหากิน ซึ่งล้วนถูกของมีคมเชือดคอและโดนคว้านเอาอวัยวะออกไป
ในขณะที่ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นชนชาติที่รุ่งเรืองในอารยธรรมมากที่สุดในโลกขณะนั้น ลอนดอนเป็นเมืองหลวงที่มั่งคั่ง ยิ่งใหญ่ หรูหราที่สุด ชาวลอนดอนทุกคนต้องแต่งกายดี มีมารยาททางสังคมสูงส่งเป็นผู้ดีที่ใช้ชีวิตประจำวันราวกับลีลาพญาหงษ์
แต่ทว่า ในอีกด้านหนึ่งของนครอันศิวไลน์นั้นยังมีตรอก ซอก ซอย ที่อยู่ในจุดอับของความเจริญ ซึ่งชีวิตของคนในนั้นจะดูน่าสังเวช ไม่ผิดกับหนูในท่อ เด็ก ๕ ขวบมักติดโรคตาย วัยรุ่นติดเหล้า เสพยามีสันดานเป็นโจรไพร่ พวกผู้หญิงวัยรุ่นจนถึงกลางคนจะยึดอาชีพค้าประเวณี ทำตนเปป็นหญิงแพศยา ทำให้รูปร่างเหี่ยว โทรม และแก่เกินวัย ทำให้พวกเธอตกเปปป็นเป้าสายตาของมนุษย์ที่เปรียบได้ดังอสูรร้าย ที่เกลียดชังพวกเธอ จนมันผู้นั้นต้องการให้เธอตายเสมือนไล่บี้แมลงสาบให้ไส้ทะลัก และตายอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ปัจจุบันผู้ที่หลงใหลในการศึกษาเกี่ยวกับคดีฆาตกรสุดโหดนี้จำนวนมาก จนมีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักริปเปอร์วิทยาเลยทีเดียว(ripperologist)

รายที่หนึ่ง เริ่มต้นในช่วงตี 5 ของวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ.1888 มีผู้เข้าแจ้งความตำรวจแล้วแจ้งว่า มีคนถูกฆ่าตายที่หน้าบ้านของเขา เมื่อตำรวจรุดเข้าไปสถานที่เกิดเหตุ ประจวบกับแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องเข้าไป ทำให้เห็นสภาพศพที่ยับเยินของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้คนแถบนั้นต่างรู้จักเธอ ว่าเธอคือ มาร์ธา เทอร์เนอร์ โสเภณีวัย 35 ปี จากสภาพศพชันสูตรออกมาว่า เธอถูกจู่โจมข้างหลัง และฆาตกรได้เชือดคอเธออย่างทารุณ ก่อนที่จะจ้วงล้วงควงแทงเธออีกกว่า 39 แผล เท่านั้นยังไม่พอใจในความวิปริต มันได้เฉือนเนื้อของเธอเป็นชิ้นโตๆ โปะไว้ตรงกองศพ ทว่า...การตายของเธอยังไม่ได้รับการสนใจพอ เพราะถือเป็นเรื่องปรกติ

รายที่ ๒ จากรายแรกผ่านไป ๒๔ วัน ชาวบ้านก็ต้องผวาอีกครั้ง เพราะครั้งนี้โหดเหี้ยมกว่าครั้งแรก ในคืนวันที่ ๓๑ สิงหาคม ย่านไวท์ ซาเบล............มีผู้พบศพแมรี่ แอนนี่ นิโคล"พริ้ตตี้ พอลลี่" วัย ๔๒ ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ ๒ ชั่วโมงเธอได้เดินควงคู่กับชายแปลกหน้าสวมหมวกทรงสูงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ซึ่งชายผู้นั้นได้เลี้ยงเหล้าเธอ และพาเธอหายไปในความมืด
สันนิษฐานว่าฆาตกรได้ใช้มีดซึ่งผ่านการลับมาอย่างดี ปาดคอเธออย่างรวดเร็ว พอลลี่หมดสิทธิ์ร้อง เพราะหลอดลมของเธอถูกตัดกระจุย และเธอยังไม่ทันตายสนิท คมมีดถูกปักเข้าที่ท้องและชำแหละลากเอาไส้ของเธอออกมา ซึ่งตำรวจผู้ชันสูตรกล่าวว่า*คนร้ายมีความรู้ในด้านกายภาพยอดเยี่ยมมาก เขาน่าจะเป็นหมอก่อนเป็นฆาตกร*


รายที่ ๓ ห่างจากรายที่ ๒ เพียง ๗ วันเท่านั้น"ดาร์ก แอนนี่" หรือ แอนนี่ แชบแมน หญิงบริการผิวคล้ำซึ่งป่วยด้วยวัณโรค ถูกเชือดชำแหละในคืนวันที่ ๘ กันยายนในถนน ฮานเบอรี่ ๒ สองศพที่ผ่านมานั้นยังเทียบกับศพนี้มิได้ เพราะเธอถูกเชือดคอ ก่อนที่จะหั่นเนื้อของเธอเป็นชิ้นๆ และจบลงด้วยการแหวะท้อง ลากเครื่องในออกมากองไว้ข้างนอก
โดยชาวบ้านต่างพากันว่าเป็นฝีมือของตำรวจนั้นเอง เพราะเป็นพวกไม้เบื่อไม้เมากับโสเภณีเหล่านี้มานาน



รายที่ ๔ เช้าวันที่ ๓๐ กันยายน แถวๆ ดัทฟิลด์ ยารัต ตำรวจกำลังออกเวรได้พบขายาวๆ สวมถุงน่องชี้โด่ออกมาจากประตูโรงงาน
ศพนั้นรู้จักกันในนามของ"ลอง ลิซ"วัย ๔๕ ปี เหยื่อรายนี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะชำแหละเสร็จ ฆาตกรจึงลงกับรายที่ ๕ ทันที อาจเป็นเพราะอารมณค้างน่ะครับ มือชำแหละได้ลงมือสังหารรายที่ ๕ ทันทีเป็นเวลา ๔๕ นาทีหลังจากพบศพของ"ลอง ลิซ"

รายที่ ๕ "เคต เคลลี่" อายุ ๔๓ ปีโดนเชือดเข้าที่ใบหน้า ตามตัวถูกกรัดด้วยและกระหน่ำแทงอย่างไร้ความปราณี ยังไม่พอ.......

ฆาตกรตัดไตข้างซ้ายและอวัยวะอื่นๆ กลับบ้านไปด้วย และที่สำคัญ ครั้งนี้ฆาตกรมี Massage เลือดฝากถึงตำรวจด้วยว่า "อย่า

โทษชาวยิว พวกนี้ไม่รู้เรื่อง" อันเป็นจุดพลิกผันของเรื่อง เพราะในขณะนั้น ชาวยิวซึ่งอพยบมาจากรัสเซียเกิดถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า

มีส่วนรู้เห็นด้วยกัน ยิ่งทำให้ถูกเข้าใจผิดมากไปกว่าเดิมเสียอีก เพราะชาวยิวในยุคนั้นถูกข่มเหงรังแกจากชาวยุโรป ทำให้เกิดบ้า

บอขึ้นมาและลงที่ผู้หญิงหากินก็ได้



ไม่นานนัก สำนักข่าวในย่านถนน ฟรีท สตรีท ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งมีใจความว่าดังนี้

"ท่านที่เคารพ...ผมคอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่เมื่อไหร่ตำรวจจะได้รู้และตามจับผมได้

สักที แต่จนแล้วจนรอดเขา

ก็ยังหาไม่พบ ผมขอบอกตามตรงว่า ผมขยะแขยงผู้หญิงบางจำพวก คอยดูสิ ผมจะฆ่าพวกมันให้ได้ครบรูร้อยเข็มขัดของผมเลยจะ

บอกให้ งานของผมนี่สนุกมากเลย ผมเก็บเลือดของพวกมันใส่เข้าไปปในขวดเอาไว้ใช้ต่างหมึกสำหรับเขียนมาถึงท่านนี่ไง อีกไม่

นานท่านจะได้ข่าวคืบหน้าขึ้นมาอีก บางที่ผมอาจจะตัดหูของนังเวรพวกนี้ใส่ซองกับจดหมายด้วยลงชื่อ Jack the Ripper"

นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่อของ Jack the Ripper ผุดขึ้นออกมาสู่โกภายนอกและรายสุดท้ายก็มาถึง
จดหมาย "เจ้านายที่เคารพ"


วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

เอาชวิตซ์ Auschwitz โรงฆ่ามนุษย์ล้านศพ

  

 


วันที่ 27 มกราคม ปีที่ผ่านมา (2005) เป็นปีที่ครบรอบ 60 ปีแห่งการเกิดเหตุการณ์สยดสยองที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมนุษย์ถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันใช้อํานาจที่เหนือกว่า จับมาสังหารหมู่ โดยมุ่งหวังจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซาก ไม่ยอมให้หลงเหลือสืบเผ่าแพร่พันธุ์ต่อไปในโลก โดยมีความผิดเพียงประการเดียวคือ ไม่มีผิวสีขาว และนัยน์ตาสีฟ้าเหมือนตนที่ (คิดว่า) เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั้นยอดที่บริสุทธิ์ จึงไม่ยอมให้อาศัยร่วมประเทศร่วมทวีป หรือแม้แต่ร่วมโลกเดียวกันก็ยอมไม่ได้ จึงมีการกวาดล้างจับกุมส่งไปทําลายชีวิตทิ้ง อย่างเหี้ยมโหดไม่เว้นแม้แต่คนชราและเด็กๆ


เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นําเยอรมันซึ่งมีอํานาจสูงสุดในยุโรปขณะนั้น และมีความรู้สึกว่าชนเผ่ายิวที่มีอยู่มากมายในเยอรมันประเทศของตน จะมาผสมพันธุ์กับเลือด เยอรมัน ทําให้ชาวเยอรมันมีเลือดไม่บริสุทธิ์ เป็นการขัดขวางการสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ฉลาด เข้มแข็งและมีความสามารถเหนือมนุษย์ด้วยกันอย่างนั้น ซึ่งต้องมีสายเลือดเยอรมันบริสุทธิ์ ต้องมีผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า จึงสั่งจับยิวและยิปซีส่งไปยังค่ายกักกันเพื่อสังหารให้หมดสิ้น ค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงว่าสังหารโหดชาวยิวมากที่สุด อยู่ในโปแลนด์ ชื่อ ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)
ค่ายแห่งนี้รองรับชาวยิวที่ส่งไปรอการประหารถึง 1 ล้าน 6 แสนคน ในจํานวนนี้ถูกสังหารด้วย การรมแก๊สพิษและเผาในเตาเผาถึง 1 ล้านสองแสนคน องค์การสหประชาชาติ ได้จัดพิธีรําลึกถึง เหตุการณ์ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ ซึ่งครบรอบ 60 ปีในวันที่ 27 มกราคม ปี 2005 




อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สั่งกวาดต้อนชนเผ่ายิวในประเทศ และในที่ต่างๆ ทั่วยุโรป จํานวน 22 ล้านคน ไปที่ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ โดยขนไปทางรถยนต์ รถไฟ และเรือเดินสมุทร พาหนะทุกประเภทที่ขนชาวยิวไปยังค่ายแห่งนี้ จะต้องผ่านการตรวจค้นจากด่านแรก ของค่ายก่อน เรียกว่า ด่านแคนาดา ด่านนี้จะเก็บทรัพย์สินทุกอย่างของชนเผ่ายิว นับแต่กระเป๋า หีบห่อ สัมภาระ เครื่องทอง เครื่องเพชร เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่มีราคาทุกชิ้นจะถูกสั่ง ให้ถอดกองไว้ ไม่เว้นแม้แต่แขนเทียม ขาเทียม และรถเข็นเด็กอ่อน สิ่งของที่ยึดไว้นี้จะถูกส่ง กลับไปยังเยอรมัน เว้นแต่ทรัพย์สินที่มีค่าจะห่อส่งไปให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป

เมื่อตรวจยึดทรัพย์สินเสร็จแล้ว ชนเผ่ายิวจะถูกสั่งให้เข้าแถวเป็นสองชุด พวกที่ค้นแล้วว่า จะต้องประหารทันที ถูกสั่งให้จัดแถวทางขวามือ ส่วนพวกที่ยังมีโอกาสรอดชีวิต ไปได้อีกระยะหนึ่ง จะถูกสั่งให้ตั้งแถวทางซ้ายแล้วเดินเข้าที่พัก

หากรู้ความจริงแล้ว พวกที่โชคดีได้อยู่แถวรอดชั่วคราว คงจะอยากขอไปอยู่แถวที่ตายทันทีดีกว่า เพราะการมีชีวิตรอดนั้น น่ากลัวกว่าและทุกข์ทรมานยิ่งกว่า การตายหลายเท่านัก






ชีวิตในค่ายกักกันนั้น ลําบากยากแค้น แสนสาหัส ต้องนอนในโรงทึบๆ ไม่มีที่ระบายอากาศและ ช่องแสง ต้องนอนบนเตียงสามชั้นที่ต่อกัน เป็นแถวยาวให้นอนสลับหัว สลับเท้ากัน เตียงแต่ละชั้นนั้นเตี้ยมาก เมื่อขึ้นเตียงต้องนอนเลย นั่งไม่ได้ เพราะช่วงห่างระหว่างเตียงเตี้ยมาก ที่ทารุณยิ่งกว่านั้น ก็คือการถ่ายทุกข์หนักเบาของเชลย โดยนาซีได้จัดโถส้วมไว้ในโรง ที่หลับนอนนั่นเอง แต่ไม่มีการจัดระบายของโสโครกเหล่านั้น เมื่อใช้นานไป อุจจาระและปัสสาวะก็จะล้นโถส้วมเจิ่งนองบนพื้นห้องส่งกลิ่นคละคลุ้งอบอวลอยู่ในนั้น

ในฤดูหนาว อุณหภูมิที่เอาชวิตซ์ลดลงเกือบถึงศูนย์องศา ชาวยิวยากจนที่สวมเสื้อผ้าไม่มีราคา ก็ไม่ลําบากนัก เพราะยังมีเสื้อผ้าติดตัวอยู่ ส่วนพวกรวยๆ สวมเสื้อผ้าราคาแพงจะถูกลอก คราบปอกเปลือกหมด ต้องทนนอนหนาวสั่นอยู่อย่างนั้นจนชินไปเอง
ถึงหน้าร้อนก็ทรมานอย่างหนักราวกับ อยู่ในเตาอบ เพราะโรงนอน 30 หลังที่เอาชวิตซ์นั้น เยอรมันไม่ยอมเจาะช่องหน้าต่าง ให้แม้แต่บานเดียวเพื่อป้องกัน การหลบหนี ซ้ำยังไม่อนุญาตให้อาบน้ำ โดยหลายๆ วันจะมีการพาไปอาบน้ำสักครั้ง ซึ่งวันที่ได้อาบน้ำจะเป็นวันที่ ผู้ถูกกักกันมีความสุขที่สุด ต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส เยอรมัน จะแบ่งผู้ถูกกักกันที่ได้อาบน้ำเป็นสองชุด คือ ชุดแรกอาบน้ำจริงๆ ส่วนชุดสองนั้นเป็นการอาบแก๊สพิษ






ก่อนจะเข้าห้องอาบน้ำ (ในแบบที่สอง) ก็จะต้องเข้าห้องถอดเสื้อผ้าก่อน โดยต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดทุกชิ้น ห้องอาบน้ำทำเหมือนกันทั้งสองชุด คือมีประตูหนาสองชั้น เจาะช่องมองกรุ กระจกไว้ด้วย  เมื่อเข้าไปในห้องแล้วประตูจะถูกล็อกแน่นหนา จากนั้นแก๊สพิษจะถูกปล่อยเข้าไป การรมด้วยแก๊สพิษนั้นทรมานมาก เพราะจะทำให้หายใจไม่ออก กว่าจะสิ้นใจตายก็ต้องดิ้นทุรนทุรายอยู่นาน โดยผู้คุมจะคอยมองที่ช่องมองจนกว่าคนสุดท้ายจะนิ่งเงียบไป เมื่อเห็นว่าตายสนิทแล้ว ผู้คุมจะเปิด ประตูเข้าเก็บทรัพย์สินมีค่า ที่เหลืออยู่ เช่น ฟันเลี่ยมทอง โกนผมแล้วตัดชิ้นส่วน ของร่างกายที่แพทย์ต้องการ เช่น แขนหรือขา ที่น่าสยดสยอง ที่สุดคือการแล่เนื้อผู้ถูกกักกัน ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เพื่อนำมาประกอบอาหาร เลี้ยงผู้ต้องขังที่ยังไม่ถึงคิวประหาร หลังจากนั้นก็นำศพซ้อนๆ กันบนรถเข็นเหล็กไปเผา แต่เมื่อไม่มีการตรวจร่างกายว่าสิ้นใจ ตายสนิทแล้วหรือไม่ ดังนั้น เมื่อนำเข้าเตาเผา จึงยังมีการดิ้นทุรนทุรายรอบสอง กันอยู่เป็นประจำ


สำหรับของมีค่านั้น ถ้าเป็นทองคำ ผู้คุมต้องนำมาหลอมเป็นแท่งส่ง ให้เจ้านายชั้นสูง ส่วนผมนั้นต้องนำมาสระชำระล้างให้สะอาด ตากให้แห้ง ส่งไปยังโรงงานถักเสื้อกันหนาว  ชิ้นส่วนแขนขาก็ส่งให้แพทย์สนามนำ ไปต่อให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนกล้ามเนื้อศพนั้นจะถูกส่งไปยังโรงครัวเพื่อปรุงเป็นซุป และแฮมเบคอนเลี้ยงผู้ต้องขัง นานๆ ครั้งที่ผู้ถูกกักกันจะได้รับประทานซุป และแฮมกับเบคอน จึงต่างก็พากันเจริญอาหารกันทั้งค่าย ท่ามกลางอาการพะอืดพะอมของทหารควบคุมผู้รู้ความจริง




การประหารผู้ถูกกักกันนั้น บางครั้งก็ใช้แก๊สไม่ทัน เพราะต้องสังหารหมู่คราวละมากๆ เนื่องจากเกิดความจําเป็น ต้องการที่ว่างเพิ่มขึ้นเนื่องจากมียิวถูกจับกุมตัวมามาก  จึงต้องประหารเพิ่มด้วย การจัดอาบน้ำกลางแจ้ง โดยไล่ต้อนเชลยไปถอดเสื้อผ้า เตรียมอาบน้ำในป่าหลังค่ายกักกัน แล้วก็สังหารเสียด้วยปืน จากนั้นก็นำศพมาเผาบนกองฟืน
เอาชวิตซ์ถูกสร้างขึ้นโดย กองทัพนาซี ที่ใกล้เมืองเอาชวิตซินในโปแลนด์ เมื่อปี 1940 ต่อมาได้มีการขยาย ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นหลายครั้ง จนมีแดนขังเพิ่มเป็น 3 แดน คือ เอาชวิตซ์ 1, อาชวิตซ์ 2 และเบอร์เคนนูร์, เอาชวิตซ์ 3 และโคโนวิตซ์ และมีค่ายกักกันย่อยในเครือเดียวกันอีก 40 แห่ง ระยะแรกๆ ใช้จำขังนักโทษชาวโปล
ต่อมาก็ใช้เป็นที่กักขังเชลยศึก โซเวียตและนักโทษสัญชาติอื่น รวมทั้งชาวเผ่ายิปซีจนถึงปี 1942 เอาชวิตซ์ก็ถูกใช้เป็นที่สังหารหมู่ นักโทษจำนวนมาก ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยมุ่งสังหารชนเผ่ายิวในยุโรปเป็นหลัก ตามแนวนโยบายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่จะล้างเผ่าพันธุ์ยิวให้สิ้นซาก ดังนั้น ชาวยิวทั้งหญิง คนแก่ และเด็ก จึงถูกจับเนรเทศมากักกันไว้ที่เอาชวิตซ์ โดยหลอกว่าจะพามาหางานทำบ้าง จะย้ายมาสร้างถิ่นฐานใหม่ ให้อยู่อย่างสะดวกสบายบ้าง

ปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีเตรียมปกปิดหลักฐานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงมีการรื้อโรงรมแก๊สสังหารกับโรงเผาศพ และย้ายนักโทษที่ยังแข็งแรงกลับมายังดินแดนเยอรมัน



ต่อมาในวันที่ 27 มกราคม 1945 กองทัพแดงของสหภาพโซเวียต ได้บุกเข้ายึด เอาชวิตซ์จากเยอรมัน โดยที่กองทัพโซเวียต รุกรวดเร็วมาก ทำให้ไม่อาจทำลายอาคารและ หลักฐาน ความลับทีถูกปกปิดได้หมด เอาชวิตซ์ จึงยังหลงเหลือเป็นหลักฐานประจาน ความโหดร้ายของนาซี และ ความสยองขวัญ  มาถึงทุกวันนี้
พบกันเมื่อพบกัน
                  http://www.wikipedia.org/